Stage Analysis เป็นแนวคิดที่ใช้วิเคราะห์แนวโน้มของตลาดหุ้น สินทรัพย์ หรือดัชนีต่าง ๆ โดยอิงจากพฤติกรรมของราคาและปริมาณการซื้อขาย (Volume) ซึ่งพัฒนาโดย Stan Weinstein ในหนังสือ “Secrets for Profiting in Bull and Bear Markets” (1988)
🔍 หลักการของ Stage Analysis
Stage Analysis แบ่งพฤติกรรมของราคาหุ้นออกเป็น 4 ช่วงหลัก ๆ ได้แก่:
📌 Stage 1: Accumulation (ช่วงสะสม)
- เป็นช่วงที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ (Sideways)
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (เช่น 30 สัปดาห์) อยู่ในลักษณะราบ (Flat)
- ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ค่อนข้างต่ำ
- นักลงทุนระยะยาวและกองทุนเริ่มเข้าซื้อสะสมหุ้นอย่างเงียบ ๆ
✅ กลยุทธ์: เฝ้าติดตามหุ้น แต่ยังไม่ต้องเข้าซื้อ จนกว่าราคาจะเริ่มมีสัญญาณของการเข้าสู่ Stage 2
📌 Stage 2: Advancing (ช่วงขาขึ้น)
- ราคาหุ้นเริ่มทะลุแนวต้านของ Stage 1 ขึ้นไป
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 30 สัปดาห์เริ่มมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น
- ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- หุ้นทำ “Higher High” และ “Higher Low”
✅ กลยุทธ์: นี่คือช่วงที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อหุ้น เพื่อให้ได้กำไรจากแนวโน้มขาขึ้น
📌 Stage 3: Distribution (ช่วงกระจายตัว)
- ราคาหุ้นเริ่มเคลื่อนไหวแบบ Sideways อีกครั้ง หลังจากขาขึ้น
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เริ่มแบนหรือชะลอตัว
- ปริมาณการซื้อขายอาจสูงขึ้น แต่ไม่มีแรงดันให้ราคาพุ่งขึ้นต่อ
- มีสัญญาณของแรงขายจากนักลงทุนรายใหญ่ (Big Players)
✅ กลยุทธ์: เริ่มทยอยขายหุ้น หรือตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) หากราคาหลุดแนวรับสำคัญ
📌 Stage 4: Declining (ช่วงขาลง)
- ราคาหุ้นหลุดแนวรับของ Stage 3 และเริ่มเป็นขาลง
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 30 สัปดาห์มีแนวโน้มลดลง
- ปริมาณการขายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
- หุ้นทำ “Lower High” และ “Lower Low”
✅ กลยุทธ์: หลีกเลี่ยงการถือหุ้น หรือหากเป็นนักลงทุนสาย Short Sell อาจใช้โอกาสนี้ทำกำไรจากการขายชอร์ต

เหตุผลที่ Stage ที่ 2 ทำกำไรได้รวดเร็ว:
- โมเมนตัมสูง: หุ้นมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- Breakout จากฐาน: เมื่อหุ้น breakout จากฐานใน Stage ที่ 1 มักจะมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงและรวดเร็ว
- การมีส่วนร่วมของนักลงทุน: นักลงทุนทั่วไปเริ่มเข้ามาซื้อเพิ่ม ทำให้ราคาเร่งขึ้น
- แนวโน้มชัดเจน: ใน Stage ที่ 2 แนวโน้มขาขึ้นชัดเจน ทำให้การตัดสินใจซื้อขายง่ายขึ้น
ข้อควรระวัง:
- การเข้าซื้อใน Stage ที่ 2 ควรมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี เพราะหุ้นอาจมีการปรับตัวลงได้หากโมเมนตัมลดลง
- ควรใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น Moving Average, Volume Analysis เพื่อยืนยันแนวโน้ม
สรุปแล้ว Stage ที่ 2 เป็นช่วงที่หุ้นมีแนวโน้มขาขึ้นชัดเจนและทำกำไรได้รวดเร็ว เนื่องจากมีแรงซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องและโมเมนตัมสูง แต่ควรระมัดระวังและใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงควบคู่ไปด้วย
